8/11/2552

โบท๊อกซ์ลดกลิ่นตัว

ตามธรรมชาติคนเรามักใส่ใจในเรื่องหน้าตาและส่วนอื่นๆ ของร่างกายมากกว่าเรื่องกลิ่นตัว แต่อย่าลืมว่าปัญหานี้แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มีผลต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก และ จัดเป็นปัญหาหนักใจของคนรอบข้างซึ่งโดยเฉพาะหน้าร้อนนี้ที่อากาศร้อนอบอ้าว
ผิวหนังของเราในชั้นหนังแท้จะมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันอยู่ ต่อมเหงื่อในร่างกายเรามีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ต่อมเหงื่อน้ำใส (eccrine sweat gland) ที่ทำให้เกิดเป็นน้ำเหงื่อใสๆ ผุดตามผิวหนัง ผ่ามือ ผ่าเท้า แผ่นหลัง ต่อมเหงื่อชนิดนี้ไม่มีกลิ่น จุดสำคัญที่สุดของกลิ่นตัว คือ ต่อมเหงื่อน้ำข้น (apocrine sweat gland) ซึ่งจะมีเฉพาะจุด เช่น ศีรษะ รักแร้ หัวนม อวัยวะเพศ ต่อมเหงื่อชนิดนี้จะเริ่มทำงานเมื่อเข้าสูวัยรุ่น มีหน้าที่สร้างสารที่มีกลิ่นคล้ายฟีโรโมนสารชนิดนี้มีสีขาวขุ่น
กลิ่นตัวทั่วไปนั้น เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อ apocrine หลั่งของเหลวสีน้ำนมออกมา แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยมาก จึงไม่ค่อยเห็นกัน เมื่อแบคทีเรียย่อยสลายของเหลวสีน้ำนมนี้ จึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นได้ ส่วนเหงื่อน้ำใส ที่มีปริมาณมากจนทำให้มีรอยเปียกเสื้อที่ใต้วงแขน ซึ่งหลั่งโดยต่อมเหงื่อ eccrine ช่วงแรกก็ไม่มีกลิ่น ต่อเมื่อมีการเติบโตของแบคทีเรียจึงเกิดกลิ่นตัวขึ้น พบว่าคนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และหญิงมีครรภ์ เกิดกลิ่นตัวง่ายกว่าคนทั่วไป อากาศร้อนอบอ้าว อารมณ์ที่ตึงเครียดกระวนกระวายใจ ทำให้มีเหงื่อมากกว่าปกติ
ในแต่ละคนจะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันและแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ เช่น ในคนผิวดำจะมีกลิ่นตัวรุนแรงมากกว่าคนผิวขาวซึ่งเกิดจากมีต่อมกลิ่นขนาดใหญ่ และผลิตไขมันมาก อันเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน ต่อมเหงื่อ apocrine ก็จะเริ่มทำงาน และ โปรตีนกับไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเหงื่อจะถูกขับออกมาตามรูขุมขน เมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียก็จะเกิดการเน่าเปื่อยของหนังกำพร้า และมีกลิ่นตามมาโดยเฉพาะบริเวณที่มีขนและอับชื้น อย่างบริเวณรักแร้ ที่กลิ่นจะมาพร้อมกับขนที่งอกออกมา แม้จะทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำ ทาแป้ง ใช้โรลออนดับกลิ่นหรือใช้น้ำหอมแล้วก็จะปกปิดกลิ่นได้เพียงชั่วระยะเวลา หนึ่งเท่านั้น ลิ่นจะไม่หายไปอย่างถาวร นอกจากนี้ยังมีหลายสาเหตุปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการมีกลิ่นตัว เช่น
- สภาพอากาศที่ร้อนหรือร้อนชื้น เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจะเพิ่มจำนวนมากเป็นพิเศษและเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงขึ้น
- เสื้อผ้าเนื้อหนาหรือผ้าใยสังเคราะห์จะระบายเหงื่อได้ช้าและเกิดความอับชื้นได้ง่าย
- อารมณ์ ความเครียด โกรธ หรือตกใจ จะกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ
- อาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ พืชประเภทผักถั่ว หัวหอม กระเทียมและเครื่องเทศ รวมถึงการรับประทานอาหารสลัดล้วนแต่เร่งให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมามากขึ้น ทั้งสิ้น
- ภาวะผิดปกติทางร่างกาย เช่น การทำงานที่บกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ทำให้ร่างกายสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่นแล้ว ขับออกมาทางเหงื่อ
- ยา เช่น ยาทารักษาสิวทั่วไปมีส่วนผสมของ Benzoyl Preoxide มีผลข้างเคียงทำให้เกิดกลิ่นตัวจึง ต้องมีการอาศัยตัวช่วยอย่าง 'โบท็อกซ์' ตัวยาที่ใช้กำจัดริ้วรอยบนใบหน้าชั่วคราว ที่สามารถนำมาใช้รักษาผู้ที่มีปัญหาในเรื่องเหงื่อออกใต้รักแร้มากผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการมีกลิ่นตัวได้ ซึ่ง FDA ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาอาการของผู้ป่วยที่มีปริมาณเหงื่อออก ใต้รักแร้เพิ่มเติมของวิธีรักษาในรูปแบบอื่นในปัจจุบัน การใช้ยาห้ามการกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ หรือ แม้แต่การผ่าตัดแก้ไขต่อมเหงื่อ

โบท็อกซ์ตัวช่วยลดเหงื่อ ลดกลิ่น

การฉีดโบท็อกซ์นั้นตัวยาจะเข้าไปหยุดการทำงานชั่วคราวของประสาทที่กระตุ้น ต่อมเหงื่อและในเมื่อเหงื่อออกน้อยแล้วกลิ่นตัวก็จะไม่มี จากประสบการณ์ที่ได้ฉีดโบท็อกซ์เข้าใต้รักแร้ของผู้ป่วยนั้น พบว่าปริมาณเหงื่อลดลงมากกว่าครึ่งภายใน 1 เดือน เพราะโดยเฉลี่ยการฉีดโบท็อกซ์ในการระงับเหงื่อนั้นจะฉีดอยู่ที่ปริมาณ 1 ขวด ซึ่งมีตัวสารโบท็อกซ์อยู่ 100 ยูนิต ก็จะฉีดเข้าที่บริเวณรักแร้ ข้างละ 50 ยูนิต แต่ในคนที่มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก จากประสบการณ์อาจไม่ต้องใช้ยาถึง 1 ขวด โดยเพียงแค่ 50 ยูนิตต่อ 2 ข้างหรือขางละ 25 ยูนิต ก็มีประสิทธิภาพที่ใช้ในการลดเหงื่อใต้รักแร้ได้เพียงพอแล้วและยังช่วยลดค่า ใช้จ่ายให้แก่คนไข้อีกด้วย โดย ผลของการฉีดโบท็อกซ์พบว่าสามารถลดการหลั่งเหงื่อได้นาน 4 เดือนถึงเกือบ 1 ปี โดยส่วนมากการฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาภาวะกลิ่นตัวหรือภาวะเหงื่อออกมาก ในแต่ละครั้งจะมฤทธิ์นานได้ถึง 8-10 เดือนเลยทีเดียว แต่ระยะเวลาในการออกฤทธิ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคนฃ

ขั้นตอนปฎิบัติ

ก่อนเข้ารักการฉีดโบท็อกซ์ผู้ป่วยจะต้องถูกตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้เกิดอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติได้ เช่น ต่อมไทรอยด์อาจทำงานมากเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยโบท็อกซ์ ซึ่ง หลังจากได้ฉีดโบท็อกซ์ไปแล้วควรหลีกเลี่ยงการดิ่มแอลกอฮอล์อาจจะมีผลทำให้ สารโบท็อกซ์ออกฤทธิได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือทำให้เกิดรอยแผลบริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์ ได้ด้วย นอกจากนี้อาจมีผลค้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาจเห็นเป็นตุ่มนูนแดงในบริเวณที่ฉีดอยู่ราวๆ 2 ชั่วโมงก็จะหายไปเอง

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอแนะนำสินค้าครับแป้งficครับใช้ได้จริงๆครับ

    ตอบลบ